ในช่วงปิดเทอมเทอมที่2
ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี
อากาศเช้าที่ควรจะสดใสกลับปกคลุมไปด้วยท้องฟ้าสีเทาหม่น
ลมพัดเอื่อยๆทิ้งความเย็นวูบวาบแปลกประหลาดอย่างไร้ที่มา
วินชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวสองสี ผมสั้นเซอร์ๆ
ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ
ดวงตาเรียวมีร่องรอยเหมือนอดนอนเป็นประจำ
มาพร้อมกับกระเป๋ากล้องใบโต
และกระเป๋าสะพายอีกใบที่ใส่อุปกรณ์ถ่ายหนังสั้น
เขาเดินลงจากรถสองแถวหน้า
สถานีรถไฟวารินชำราบ
ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
แต่ยังคงแสดงอาการตื่นเต้นที่ได้ถือกล้องคู่ใจติดตัว
ให้ตายเถอะโคตรเงียบ
วินพึมพำพลางมองไปรอบๆสถานี
แม้จะเป็นเช้าวันศุกร์แต่สถานีกลับเงียบกว่าปกติ
ผิดคาดอย่างน่าประหลาดรอบๆแทบไม่มีผู้โดยสารนั่งรอ
บางจุดบนชานชาลาเงียบงันจนน่าขนลุก
ตัวอาคารสถานีมีคราบเก่าๆกับฝ้าสีเหลืองซีดเป็นหย่อมๆ
บางซอกของผนังมีรอยแตกร้าวเล็กๆ
คล้ายจะไม่ถูกซ่อมบำรุงมานาน
วินเดินลากขาตั้งกล้องมาหยุดที่มุมร้านกาแฟเล็กๆ
ตรงชานชาลาด้วยความที่กลัวว่าถ้ามัวรอเฉยๆ
คงเบื่อจนหลับคาที่เขาจึงจิ้มโทรศัพท์โทรหา
โต้งผู้กำกับเพื่อนร่วมคณะทันที
แต่ว่า
ตู๊ด...
ตู๊ด...
ไม่มีคนรับสาย
อย่าบอกว่ายังไม่ตื่นนะมึง
แล้วทำมัยสถานีวันนี้มันเงียบขนาดนี้นะ
จะนั่งทำอะไรรอมันดีวะเนี่ย.
โต้งบอกไว้ว่าจะเจอกันตอน3โมง
แต่ไม่ได้บอกชัดว่าสามโมงเช้าหรือบ่าย
โทรหาก็ไม่รับซะงั้น
ตอนแรกวินก็นึกว่าเป็นสามโมงเช้า
จึงมาถึงแต่ไก่โห่ไม่รู้ว่าโต้งนั้นหมายถึงสามโมงเย็น
สายโทรศัพท์ทุกสายจึงไร้การตอบรับ
วินถอนหายใจเฮือก
วางมือถือแล้วเหลือบตามองนาฬิกา
เพิ่งจะ8โมงเช้าเอง
อีกตั้งหลายชั่วโมง.
เอาวะ
กาแฟสักแก้วคงจะช่วยแก้เซ็ง
วินสั่งกาแฟเย็นนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะริมกระจก
สายตาของเขาเลื่อนไปเห็นป้าย ห้องน้ำเก่าคร่ำ
ด้านหลังสถานีดูมีเงามืดๆ
น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกและเพราะเป็นคนชอบ
เก็บภาพเพื่อนำไปตัดต่อเป็นฟุตเทจเสริมในหนังสั้น
วินจึงลุกขึ้นคว้ากล้อง ออกเดินสำรวจรอบๆ สถานี
บรรยากาศสถานีรถไฟวารินชำราบในเช้าวันศุกร์
ชานชาลาพื้นกระเบื้องเก่าสีอิฐที่แตกเป็นหย่อมๆ
เห็นพื้นปูนด้านล่างบางจุดมีกระเบื้องหลุดร่อนขาดหาย
แสงแดดถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆสีเทาหม่น
เหมือนฝนกำลังจะตกแต่ก็ไม่ตกเสียที
ทิ้งบรรยากาศหม่นๆวังเวง
เสียงลมหวีดแผ่วๆผ่านอาคาร
แทบไม่มีเสียงผู้คนคุยกัน
เหมือนสถานีร้างในเช้าวันฝนจะตก
มีทั้งกลิ่นกาแฟจางๆจากร้านกาแฟผสมกับกลิ่นเหม็นอับเก่าๆ
ของสถานีที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
วินเดินย่องไปมาหามุมแปลกๆในการถ่ายวิดีโอ
จนสะดุดตาเข้ากับทางเดินยาวหลังสถานีที่นำไปสู่ห้องน้ำสาธารณะ
กำแพงที่มีเงาแสงพาดบนฝุ่นและคราบตะไคร่น้ำเขียวเข้มดูโสโครก
เขาเลื่อนกล้องขึ้นบันทึกภาพผ่านช่องมุมแคบๆ
อารมณ์โทนดาร์กๆสำหรับใช้เป็นฟุตเทจประกอบความหลอน
เฮ้ย
เหมือนเห็นเงาคนตรงนั้นแวบๆ
ในเฟรมกล้องวินเหมือนจะเห็น
โต้งกับมะปรางยืนอยู่ข้างผนังด้านหลัง
เขาตกใจเผลอยกกล้องออกจากหน้า
แล้วหันไปมองด้วยตาเปล่า
แต่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใคร
ราวกับเงาที่เห็นเป็นแค่ภาพหลอน
วินขมวดคิ้วด้วยความงุน.งง
มือยังจับกล้องแน่นเขาค่อยๆเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ก็ไม่พบใครจึงอดบ่นกับตัวเองไม่ได้
กูคงคิดถึงพวกมันมากไปล่ะมั้ง.
มันกี่โมงแล้ววะเนี่ย
วินหันไปทางด้านหลังกลับก็แทบสะดุ้งเฮือก
เมื่อเห็นโต้งกับมะปราง
เดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขาแบบประชิด
เหี้ย
วินร้องลั่นมือแทบปล่อยกล้องตก
มะปรางหัวเราะคิกคัก
ส่วนโต้งเองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
พวกมึงจะหัวเราะห่าอะไรกันนักวะ
เดี๋ยวกล้องกูหล่นพังหมด
วินวางกล้องลงกับพื้นระวังไม่ให้เสียหาย
ขอโทษนะเว้ยแค่แกล้งเล่นๆ
พอดีเห็นมึงตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพ
ก็เลยอยากกระตุกหัวใจดูสักหน่อย
โต้งกล่าวพลางตบบ่าของวินเบาๆ
โต้งเป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนไปทางสูงแต่ไม่เท่าวิน
ออกจะผอมๆหน่อยผมตัดสั้นทรงนักเรียน
เกือบเกรียนเพราะเจ้าตัวเบื่อที่จะเซตผม
สวมเสื้อยืดสีเข้มกางเกงยีนส์
และรองเท้าผ้าใบที่เริ่มเยินตามสไตล์เด็กคณะนิเทศ
เขาเป็นคนอารมณ์ศิลป์มักจะหยิบสมุดพกมาขีดๆเขียนๆ
เป็นไอเดียบทหนังหรือสตอรี่บอร์ดอยู่เสมอ