ถอดรหัสธรรมในหตุการณ์วันวิสาขบูชา โดย พระเมธีวชิโรดม (ท่าน ว.วชิรเมธี)
"..เหตุการณ์ในวันประสูติเตือนจิตสะกิดใจเราว่า
เราเกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง
เราเกิดมาไม่ใช่เพื่อที่จะตายถมแผ่นดินไปชาติหนึ่ง
แต่เราเกิดมาเพื่อมาฝึกหัดพัฒนาตนให้เป็นยอดคนให้ได้
การที่พระพุทธเจ้าประสบความสำเร็จ
เพราะว่าทรงวางเป้าหมายว่าเกิดมาแล้วจะทำอะไร
แล้วก็ทรงทำได้ตามเป้าหมายนั้นจริง ๆ
เราทุกคนหากอยากประสบความสำเร็จ
เหมือนพระองค์บ้าง ก็ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้แก่ชีวิต
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในเรื่องไหน
อย่าสักแต่ว่าใช้ชีวิต แต่ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายในชีวิต
จากนั้นก็ฝึกหัดพัฒนาตน
ให้เป็นยอดคนตามที่เราตั้งปณิธานเอาไว้ให้ได้
ถามตัวเองว่า หากเราจะจากโลกนี้ไป
เรามีอะไรประดับไว้ในโลกา
เหมือนที่พระองค์ทรงประดับคุณงามความดีเอาไว้
ให้ชาวโลกรำลึกถึงพระองค์บ้าง.."
(ท่าน ว.วชิรเมธี - พระเมธีวชิโรดม)
“ค้นหาความหมายใน ๓ เหตุการณ์สำคัญ
เนื่องในวันวิสาขบูชา”
(พระเมธีวชิโรดม/ว.วชิรเมธี)
ผู้อำนวยการศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน
.
๑. “การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ”
.
คือ การเตือนเราทุกคนว่า
มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ควรจะมีวาระแห่งชาติ (ชาติ=การถือกำเนิด=ชีวิต)
หรือวาระแห่งชีวิตที่ชัดเจน ไม่ควรปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม
เหมือนกอสวะลอยน้ำ ที่สุดแต่กระแสน้ำจะพัดพาไป
.
เราควรจะใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย
ไม่ใช่สักแต่ใช้ชีวิตไปแบบวันต่อวันอย่างไร้ค่า
แต่ควรจะใช้ทุกวัน (ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต)
อย่างถนอมรักและตระหนักว่า เวลาแต่ละวันนั้นแสนล้ำค่าเพียงไร
และต้องนำพาชีวิตไปเพื่อเสกสร้างรังสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด
เท่าที่ชีวิตของคนคนหนึ่งจะพึงทำได้
.
อย่างน้อยที่สุด ต้องรู้จักการตั้งเป้าหมายให้แก่ชีวิต
และเป้าหมายนั้น ไม่ควรจะเป็นไปเพื่อตัวเองล้วนๆ
แต่ควรเป็นเป้าหมายที่สนองทั้งตัวเอง คนอื่น และโลก
อย่างที่กล่าวว่า “ชีวิตที่ดีควรบำเพ็ญกรณีย์ให้ครบ ๓ ขั้น
อันได้แก่ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์โลก”
.
เมื่อแรกประสูติ พระองค์ตรัสว่า
“เราเป็นยอดคนของโลก
เราเป็นพี่ใหญ่ของโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก”
.
อาสภิวาจาที่ทรงประกาศขึ้นมาอย่างอาจหาญนี้
ก็คือ การประกาศถึงปณิธาน/เป้าหมายแห่งชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ
ว่า เมื่อทรงอุบัติมาในโลกนี้แล้ว ทรงมุ่งหมายจะไปให้ถึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์
นั่นคือ การเป็นสัมมาสัมพุทธะ และจะทรงใช้ศักยภาพแห่งสัมมาสัมพุทธะนั้น
เพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติให้หลุดอออกมาจากตาข่ายของความไม่รู้
ของความเชื่ออันมืดบอด ของกฎกติกาหรือโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรม
และจากความทุกข์ทางจิตวิญญาณ
ที่บดบังดวงตาแห่งปัญญาของมนุษย์ให้เวียนว่ายอยู่ในวังวนของความทุกข์
อย่างไม่มีวันจบสิ้น
.
กล่าวอย่างสั้นที่สุด
เราทุกคนเกิดมาเพื่อจะใช้วันเวลาอันแสนสั้นในชีวิตนี้
เพื่อพัฒนาชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด เข้าถึงคุณค่าสูงสุด
กล่าวคืออิสรภาพทางกาย (มนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์)
ทางจิต (คุณภาพ/สุขภาพ/สมรรถภาพ) และ ทางปัญญา (เห็นแจ้งความจริงตามที่มันเป็นจริง
ลุถึงอิสรภาพอย่างสมบูรณ์/ดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญา)
.
๒. “การตรัสรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า”
.
คือ การค้นพบความจริงที่ว่า “สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย”
(และความทุกข์ที่โถมทับมนุษยชาติอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดับลงได้ไม่ใช่สิ่งถาวร)
“เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ”
ไม่ได้เป็นไปตามอำนาจวิเศษจากเทวาปาฏิหาริย์ที่อยู่สูงขึ้นไป
ยุคทองของความงมงายในเทวาปาฏิหาริย์และเรื่องเล่าปรัมปราคติได้จบลงแล้ว
จากนี้เป็นยุคทองแห่งสติปัญญาของมนุษย์และความจริงตามที่มันเป็นจริง
ซึ่งตรวจสอบได้ อธิบายได้ และท้าทายได้อย่างเหนือกาลเวลา
จากการตรัสรู้นี้
บอกหน้าที่ที่เราทุกคนต้องปฏิบัติต่อตัวเองว่า
.
“ชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็นความรับผิดชอบของมนุษย์เอง”
.
ไม่มีเทวาปาฏิหาริย์ที่ไหนมากำหนดกฎเกณฑ์หรอก
ชะตากรรมของเรา อยู่ในมือของเรา
เราเป็นผู้กำหนดอนาคตของเราเอง
เราเป็นนายแห่งนาวาคือชีวิตของเราเอง
เราออกแบบชีวิตของเราเองให้เป็นอย่างไรก็ได้
.
การฝากความเชื่อมั่นไว้กับสิ่งนอกกายนอกใจ
อย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นเพียงความเข้าใจผิด
เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เอาไว้กดขี่มนุษย์ให้อยู่ใต้มนุษย์เท่านั้น
พุทธดำรัสที่ว่า “จิตฺเตน นียติ โลโก” (โลกหมุนไปตามความคิด)
และ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ,โก หิ นาโถ ปโร สิยา”
(ตนเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้)
.
มนุษย์ทุกคน มีศักยภาพ ที่จะกำหนดชะตากรรมของตัวเอง
มนุษย์ทุกคน มีอิสระที่จะใช้ชีวิตอย่างที่คิดอย่างที่ฝัน
มนุษย์ทุกคน หากได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด
เขาจะสามารถบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดได้ทุกคน
ทั้งนี้ ไม่สำคัญว่าสังกัดเพศอะไร
หญิงหรือชาย ไม่เป็นปัญหา
ในการบรรลุถึงพุทธภาวะสูงสุด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคน
.
๓. “การปรินิพพาน”
.
คือการเตือนให้มนุษยชาติตระหนักรู้ว่า “ชีวิตเป็นสิ่งชั่วคราว”
วันเวลาที่เราได้มาบนโลกใบนี้มีขีดจำกัด
ดังนั้น เราต้องเลือกที่จะใช้วันเวลาอันแสนสั้นนี้
อย่างรู้คุณค่าที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไม่มีวันนี้สองครั้ง
ความตายไล่กวดมนุษยชาติอยู่ทุกย่างก้าว
อย่างที่พระพุทธองค์เคยตรัสว่า
.
“อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ,โก ชญฺญา มรณํ สุเว”
“ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด
เพราะใครเลยจะรู้ว่า ความตายอาจมาถึงในวันพรุ่งนี้”
.
เข้านอนไปในคืนนี้แล้ว อาจไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก
ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้แล้ว
อาจไม่ได้เข้านอนอีกในค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง
.
พรุ่งนี้ กับ ชาติหน้า
เราไม่รู้จริงๆ ว่า อะไรจะมาถึงก่อนกัน
.
เราทุกคนล้วนมีความตายรออยู่เบื้องหน้า
นี่เป็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
ก่อนที่สัจธรรมสุดท้ายจะเดินทางมาถึงชีวิตของเรา
เราควรถามตัวเองว่า
“ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร ให้เป็นที่พอใจของตัวเอง
และให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่โลกใบนี้”
#วันวิสาขบูชา #VisakhaBuchaDay #Visakha