บ่ายวันอังคารอากาศร้อนจัด
แดดกลางฤดูแล้งของเมืองโคราช
แผดเผาจนพื้นคอนกรีตร้อนระอุ
ดำชายวัยสี่สิบปลายๆ
ผมตัดสั้นรองทรง
มีรอยแผลเป็นขนาดเล็กอยู่บนโหนกแก้มซ้าย
พื้นฐานหน้าตาดูดุดันเหมือนคนผ่านศึกมาเยอะ
เขาเคยเป็นตำรวจอยู่ถึงสิบปี
เรียกได้ว่าคร่ำหวอดในงานปราบปรามและการสืบสวนมากพอสมควร
ทว่าหลังเกิดปัญหาภายในบางอย่าง
เขาจึงลาออกจากวงการสีกากี
แล้วผันตัวมาทำงานรับจ้างเป็นบอดี้การ์ด
คนคุมหน้าเธค หน้าผับ
และงานอารักขาต่างๆที่ได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง
วันนี้ดำสวมเสื้อยืดสีเทากางเกงยีนส์เข้ม
รวบรวมความกล้าขับรถกระบะคู่ใจเก่าๆ
มุ่งหน้าไปยังสำนักหมอเนตร
หมอดูชื่อดังแห่งโคราช
ซึ่งเขาไม่เคยคิดจะเดินเข้าหาสิ่งเหล่านี้มาก่อน
ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ชีวิตของเขาดูเหมือนจะมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
มีเรื่องทะเลาะวิวาทใหญ่ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนงานกะทันหัน
แถมเจ็บตัวได้แผลมาอีกต่างหาก
ไหนจะฝันแปลกๆที่มักเห็นภาพเงาผู้หญิง
หรือเสียงครวญครางบางอย่างตามหลอกหลอน
จนแทบไม่เป็นอันหลับอันนอน
ข้างๆดำบนเบาะผู้โดยสารคือน้อย
เพื่อนรักวัยใกล้เคียงกัน
รูปร่างผอมสูง
แต่ดูแข็งแรงปราดเปรียวเพราะกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนต่อยมวยไทยสมัยหนุ่มๆ
น้อยมีรอยสักเต็มแขนเป็นลายเสือกับลายสักรูปยันต์โบราณ
เขาเป็นใบ้พูดไม่ได้
แต่ไม่ได้หูหนวก
สื่อสารด้วยการเขียนข้อความลงในสมุดเล็กๆ
หรือใช้ภาษามือหยาบๆ
ที่คนใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
ดำชอบบ่นขำๆว่าถ้าไอ้น้อยพูดได้
มันคงโม้เก่งกว่ากูแน่ๆ”
แต่ความจริงแล้ว
น้อยเป็นคนเงียบนิ่ง
และเยือกเย็นเป็นพิเศษ
“มึงว่าเขาจะช่วยได้จริงเหรอวะ?”
ดำพูดขึ้นเบาๆโดยไม่คาดหวังคำตอบจากน้อย
แต่หันไปมองน้อยทางหางตา
ซึ่งน้อยทำเพียงผงกศีรษะแบบไม่แน่ใจ
แต่เหมือนส่งสัญญาณว่าก็ลองดู
ไม่เสียหายอะไรหรอก”
ในใจกึ่งหนึ่ง
ดำเองก็ไม่อยากเชื่อเรื่องพวกนี้
แต่ประสบการณ์ชีวิตบนถนนสายงานเสี่ยง
ทำให้เขาเริ่มไม่กล้าลบหลู่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้โดยตรง
เพราะพักหลังๆมานี้
แค่จะก้าวเท้าออกจากบ้านก็รู้สึกเหมือนมีเงาตามตัวอยู่ตลอดเวลา
เหมือนรอวันที่จะเกิดสิ่งไม่คาดฝัน
ทันทีที่รถกระบะคันเก่าของดำและน้อย
เคลื่อนตัวเข้ามาถึงบริเวณสำนักหมอเนตร
ภาพแรกที่ปรากฏคือฝูงชนหลากหลายวัยยืนเบียดเสียดกัน
บนลานกว้างหน้าศาลาหลังใหญ่
บางคนแต่งตัวภูมิฐานในชุดทำงาน
บางคนมีเสื้อผ้าโทรมๆมอมแมมเหมือนคนใช้แรงงาน
แต่ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดและคาดหวังเหมือนกัน
ราวกับทุกคนรอให้ปาฏิหาริย์หรือเครื่องรางทางใจ
มาช่วยเยียวยาชีวิต
บรรยากาศรอบบริเวณเจือไปด้วยกลิ่นธูป
เทียน และควันกำยาน
คลุ้งตลบจนรู้สึกอึดอัดแปลกๆดำกวาดตามองไปรอบๆ
อย่างคนไม่คุ้นชิน
เพิ่งบ่ายแก่ๆแต่จำนวนผู้คนล้นหลามราวกับงานวัดใหญ่
ใบหน้าน้อยที่อยู่ข้างๆแม้จะไร้คำพูด
แต่ก็บ่งบอกความสงสัยไม่แพ้กัน
ดำกระซิบกับน้อย
“มึงดูดิ…
คนเยอะเป็นบ้า
บางคนแต่งตัวเหมือนมาออกงานเลยนะ
ทั้งที่นี่มันแค่สำนักหมอดู”
น้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย
มองไปรอบๆแล้วพยักเพยิดเหมือนจะบอกว่า
“ก็ดังจริงๆนี่”
ทั้งคู่เดินเบียดเสียดผู้คน
จนมาหยุดอยู่หน้าศาลาไม้สีเข้ม
ประดับไฟนีออนและเครื่องรางเป็นพวงๆ
มีลูกศิษย์ผู้ชายใส่ชุดขาว2ถึง3คนคอยต้อนรับ
จดชื่อและเรียกคิวของผู้ที่ต้องการพบหมอเนตร
หน้าศาลามีคนยืนรอคิวแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่นั่ง
เสียงพูดคุยปะปนกันทั้งเรื่องครอบครัว
หน้าที่การงาน และเรื่องลี้ลับ
บางคนบ่นถึงเรื่องโชคไม่ดี บางคนอ้างว่า
“หมอเนตรช่วยเขาไว้ไม่ให้ต้องประสบอุบัติเหตุใหญ่”
หรือ“ทำให้ค้าขายรุ่งเรือง”
จนกลายเป็นที่เล่าลือปากต่อปาก
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดกับคนข้างๆ
“ฉันรอคิวตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย
ยังไม่ได้เข้าไปหาอาจารย์เลย
ได้ข่าวว่าพิธีเขาแน่นมากเพราะคนมารอต่อชะตากันเพียบ
คนนั้นว่ากำลังจะถึงฆาต
คนนู้นก็ว่าป่วยหนัก ถ้าไม่รีบทำจะไม่รอด”
ชายอ้วนร่างท้วมพึมพำ
“เห็นว่าต่อชะตาใช้เวลาหลายชั่วโมง
ต้องพิธีกันหลายอย่าง…
เลือดสาดเลยนะ
บรึ๋ย!”