การฝึกจิตเพื่อเข้าถึงความเป็นอิสระจากอารมณ์ทั้งปวง และการพิจารณาธรรมที่เป็นความจริงแท้ไม่ขึ้นอยู่กับความปรารถนาหรืออคติใด ๆ ดังนี้:
1. ความเป็นอิสระจากโลภะ โทสะ โมหะ
ความอิสระแท้จริงเกิดจากการไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสทั้งสาม ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง เมื่อบุคคลพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง ย่อมไม่ยึดติดในสิ่งใด ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรืออารมณ์ในใจ
2. ความจริงอันประเสริฐ (สัจธรรม)
สภาวธรรมเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง (ไม่เที่ยง), ทุกขัง (เป็นทุกข์), และ อนัตตา (ไม่มีตัวตนที่แท้จริง) ผู้ที่พิจารณาธรรมจนเห็นแจ้งในไตรลักษณ์ ย่อมหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
3. การพัฒนาปัญญาและสติ
การฝึกจิตที่ดีทำให้เกิดปัญญา เห็นธรรมตามความเป็นจริง เหมือนแสงสว่างที่ขจัดความมืดออกไป ปัญญาทำให้บุคคลไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความปรารถนาทั้งหลาย
4. อิสรภาพจากทุกข์
ทุกข์เกิดจากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง เช่น รูป รส กลิ่น เสียง หรือแม้กระทั่งความคิด เมื่อจิตที่ฝึกดีแล้วเห็นสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง จิตย่อมหลุดพ้นจากการยึดติด และเกิดความสงบเย็น
5. การดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธเจ้า คือการเดินตามรอยยุคลบาทด้วยการสั่งสมสติและปัญญา ย่อมได้รับอิสรภาพแท้จริง ซึ่งไม่ใช่อิสรภาพที่เกิดจากการสมมุติ แต่เป็นอิสระจากการครอบงำของอารมณ์และกิเลส
6. การยอมรับความจริงของธรรมชาติ
การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังขาร ทำให้เกิดทุกข์ซ้ำซ้อน ผู้ฝึกจิตต้องพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ และอนัตตาของสรรพสิ่ง เพื่อคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
7. ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
ธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นแสงสว่างที่นำทางผู้ปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้น ผู้ที่เห็นธรรมตามรอยพระยุคลบาทย่อมเข้าถึงอิสรภาพในจิตใจและพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง