เราต้องฝึก จะให้สติมันเร็วขึ้นๆ มันเร็วเอง
มันเร็วจนถึงขนาดเห็นจิตเคลื่อนขึ้นจากภวังค์เลย
อย่างเกิดความรู้สึกขึ้นมา เกิดร่างกายขึ้นมา
ถ้าจิตมันเคลื่อนขึ้นมาอย่างนี้ เราก็จะเริ่มเห็นแล้ว
จิตใจก็ไม่ได้ของที่มีอยู่ตลอดเวลา
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา
ตัวร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ตัวเรา
แต่จิตมันแค่ไปรู้ถึงร่างกายที่มันมีอยู่ พอเห็นอย่างนี้
มันก็จะรู้ว่าร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นสมบัติของโลก
แต่จิตนี้มันเข้ามาครอบครอง
ฉะนั้นถึงวันหนึ่งมันจะต้องคืนเจ้าของ ต้องคืนกายให้โลก
ถ้าใจมันยอมรับความจริงได้แล้ว
ร่างกายเป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่ของเรา
เราแค่เข้ามายืมใช้ มาครอบครองอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว
เหมือนเป็นบ้านเช่า
ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องคืนเจ้าของบ้านเขาไป
คืนให้โลกไปร่างกายนี้ เราก็ไปหาบ้านใหม่
ไปเช่าบ้านหลังอื่นต่อ เวียนว่ายตายเกิดไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น
จนภาวนาไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งนี่จิตเราเข้าถึงพระนิพพาน
สัมผัสพระนิพพาน เราจะรู้เลยบ้านต่างๆ ที่เราเคยมี
มันเป็นบ้านชั่วคราวทั้งหมดเลย
แต่บ้านที่แท้จริงนั้นต้องภาวนาแล้วเราจะเห็น
พอเราภาวนาไป ทีแรกเราก็จะรู้สึกเลยว่า
ตรงนี้เดิมเราคิดว่าบ้านของเราจริงๆ แล้วเราก็รู้ว่าไม่ใช่
ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องคืนเจ้าของไป ย้ายบ้านไปกี่ครั้งๆ
ไปอยู่แรกๆ ก็อาจจะรู้สึกว่าของเราๆ อยู่ไปนานๆ
แล้วก็จะรู้สึกอีก ตรงนี้ก็ที่ชั่วคราว นี่ก็ชั่วคราวที่นั่นก็ชั่วคราว
ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นอมตะที่จะอยู่ได้ตลอด ค่อยภาวนา
อย่างหลวงพ่อตั้งแต่เด็กๆ อยู่ในบ้านพ่อบ้านแม่ ตอนเด็กๆ
เราก็รู้สึก มันรู้สึกเองไม่มีใครเสี้ยมสอนเลย
มันรู้สึกว่าเราจะอยู่ตรงนี้ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ
เดี๋ยวโตขึ้นเราก็จะไปหาบ้านของเราอยู่เองอะไรอย่างนี้
พอย้ายบ้านก็รู้สึกว่า เราไปเช่าเขาอยู่
เราก็รู้สึกมันไม่ใช่ของเราหรอก
เดี๋ยวต่อไปเราจะไปหาบ้านใหม่อีก ไปหาๆ จนไปซื้อบ้าน
ซื้อโน่น ซื้อนี่ไป มันก็รู้สึกอีกว่ามันอยู่ชั่วคราว
มันไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของเราได้หรอก
ฉะนั้นบ้านทั้งหลายที่เราอยู่ในโลกนี้
เป็นของที่เราจะอยู่กับมันชั่วคราวเท่านั้นเอง
จนออกมาบวช ไปอยู่ที่สวนโพธิ์ ลงทุนสร้างสวนโพธิ์
ก็มีพวกลูกศิษย์มาช่วยบ้างอะไรบ้าง ลงทุนสร้าง
สร้างขึ้นมาแล้วเราก็กะว่า เราคงจะอยู่ตรงนี้ไปนานเลย
คงไม่ต้องย้ายไปไหนแล้ว อยู่ไปสักพักหนึ่งเราก็รู้สึกว่า
นี่ก็ยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา ตรงนี้ก็ที่อยู่ชั่วคราวนี่เอง
ค่อยภาวนาไปเรื่อยๆ ถึงจะรู้จักบ้านที่แท้จริงได้
พอรู้แล้วเราจะรู้เลย โลกนี้เป็นของอาศัยชั่วคราว
ไม่นานเราก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้
ให้คนอื่นเขามาอาศัยต่อ อย่างบ้านที่พวกเราอยู่ทุกวันนี้
ถ้ามันไม่พังไปเสียก่อน ถ้าไฟไม่ไหม้ไปเสียก่อน
วันหนึ่งมันก็เป็นของคนอื่น คนอื่นมาอยู่
อาจจะไม่ใช่คนที่เรารัก ลูกหลานเราหรอก
อาจจะเป็นคนที่เราเกลียดเลย แต่มันมาซื้ออะไรอย่างนี้
ฉะนั้นสมบัติมันไม่ใช่ของเราที่แท้จริง
หลวงพ่อไปหลายประเทศมา
เคยไปดูอยากรู้ว่าแต่ละประเทศ คนเขาเป็นอย่างไร
เขาอยู่กันอย่างไร เขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร
เป็นทรัพยากร เป็นข้อมูล ที่เราจะมองถึงการที่จะทำงานต่อไป
เผยแพร่ธรรมะอะไรพวกนี้
ก็ไปเห็นตามวัง ตามคฤหาสน์ ตามปราสาทใหญ่ๆ อะไรอย่างนี้
ไปเห็นแล้วก็รู้สึกสลดสังเวช
เจ้าของมันไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว เจ้าของไม่อยู่แล้ว
ครั้งหนึ่งใครก็เข้าไปไม่ได้ ทุกวันนี้ตีตั๋วแล้วก็เข้าไปได้
สมบัติของโลกมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราก็เข้าใจ ค่อยๆ
ฝึกตัวเองไปให้มันฉลาดขึ้นๆ
ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของอาศัยชั่วคราว
อย่าว่าแต่บ้านช่อง ทรัพย์สมบัติเลย
กระทั่งร่างกายนี้ก็เป็นของที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราว
ไม่นานเราก็ต้องคืนเจ้าของ คืนให้โลก
ร่างกายมันก็คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม พอมันแตกสลายลงไป
จิตวิญญาณไม่สามารถครอบครองต่อไปได้แล้ว
มันไม่เหมาะที่จะอยู่ต่อไป
ดินมันก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม
ธาตุทั้งหลายมันก็สลายตัวแยกย้ายกันไป ตามที่มันเป็น"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
15 พฤษภาคม 2564
สามารถคลิกลิงค์เพื่อชมพระธรรมเทศนาในวันดังกล่าวได้ที่
https://youtu.be/xYyfrWYQhSg
ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง
เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.com
https://fb.com/dhammateachings
https://instagram.com/dhammadotcom
http://line.me/ti/p/~@dhammadotcom
ปฏิทินแสดงธรรม
https://www.dhamma.com/calendar/
แผนที่เดินทางไปวัด
https://goo.gl/maps/Abb5nS95um62