บัณฑิตย่อมแสวงหาสิ่งที่เลิศให้กับชีวิตของตน ; 8 กุมภาพันธ์ 2568 : หลวงปู่นิภา นิภาธโร
เจริญในธรรม ท่านผู้สนใจในการฟังธรรมทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะต้องแสวงหาความเจริญให้กับจิตใจของเรา ความเจริญของจิตใจนั้นเป็นหนทางแห่งความสุข เป็นหนทางอันสูงสุดของชีวิตและการแสวงหา
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 ชั้นบาดาล และ 21 ท่าน (หมายถึงระดับภูมิในคติความเชื่อ) ผมไม่รวมถึงนรกที่ยังไม่สามารถเจริญได้ ดังนั้น การที่ท่านทั้งหลายมีโอกาส มีลมหายใจเพื่อแสวงหาความเจริญให้กับชีวิตของตน จึงเป็นหน้าที่และเป็นขนบธรรมเนียมของบัณฑิต
บัณฑิตย่อมแสวงหาสิ่งที่เลิศให้กับชีวิตของตน แนวทางที่เลิศของพระพุทธศาสนาคือ หนทางแห่งความสงบสุข ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” (นิพพานเป็นสุขอันยิ่ง) เป็นบรมสุข เป็นสุขที่ไม่อิงอามิส ไม่ต้องแลกเปลี่ยน ไม่ต้องถูกความเร่าร้อนทั้งหลายหล่อหลอมอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงมีเป้าหมายในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อฝึกจิตฝึกใจของตนให้เกิด ความรู้ยิ่ง เพื่อเข้าถึง ความสุขสูงสุดของจิตวิญญาณ
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เคยมีความสุขดื่มด่ำกับโลกียสุขตั้งแต่ยังเป็นพระราชกุมาร ทรงเคยเพลิดเพลินกับสิ่งสวยงาม สิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยลุ่มหลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่าชัง และน่าขยะแขยง เพราะมันปะปนไปด้วย ความไม่เที่ยง
เมื่อ สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็ตามมา ทุกอย่างอาศัยกันเกิด การกิน ดื่ม เสพ จึงไม่สามารถทำให้พระองค์พอพระทัยได้ พระองค์จึงเห็น ภัยของความแก่ ความเจ็บ และความตาย ว่าเป็นสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายต้องประสบ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ ไม่น่าปรารถนา
• ความแก่ เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม
• ความเจ็บ เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก
• ความตาย เป็นสิ่งที่ทุกคนหวาดกลัว
แต่ถึงอย่างไร สัตว์ทั้งหลายก็ต้องเจอสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะมีเครื่องบรรเทาความแก่ ความเจ็บ ความตายสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้
พระบรมศาสดาเมื่อเห็นภัยอันน่ากลัวเหล่านี้ เกิดขึ้นกับพระประยูรญาติ กับประชาชน และแม้แต่กับพระองค์เอง พระองค์จึง ตัดสินใจเสด็จออกผนวช
พระองค์บำเพ็ญเพียร ศึกษาเรียนรู้จากคณาจารย์ต่าง ๆ ปฏิบัติตามแนวทางที่มีอยู่ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น สมาธิชั้นสูง หรือการบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้โดยแท้จริง
จนกระทั่งพระองค์ทรง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยพิจารณาจนเห็นกลไกของความคิด เห็นธรรมชาติของสังขารทั้งหลาย
พระองค์ทรงเห็นว่า:
• สิ่งทั้งปวงล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
• สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีแต่ความเปลี่ยนแปลง
• ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
• ไม่มีตัวตนแท้จริง ไม่มีสิ่งใดควรยึดมั่นถือมั่น
พระองค์พิจารณาจนเห็นว่า ความสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นเวทนาที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน
เมื่อพระองค์ทรงรู้แจ้งในธรรมเหล่านี้ จึงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เราท่านทั้งหลาย ผู้เดินตามรอยยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ก็ต้อง หมั่นพิจารณา น้อมนำธรรมเข้าสู่จิตใจของตน ฝึกสติ ฝึกสมาธิ พัฒนาปัญญา เพื่อเห็นความจริงของสังขาร
สุดท้าย…
• สังขารเป็นของไม่เที่ยง
• เวทนาเป็นของไม่เที่ยง
• สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
• ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา
เมื่อเห็นความจริงนี้ด้วยปัญญา ย่อมเกิดความสงบสุข และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก