#หลวงพ่อเงิน #พิมพ์ขี้ตา #เนื้อสำริด
พระรูปหล่อพิมพ์ขี้ตาและพิมพ์นิยมเป็นพระเนื้อสำริดทองผสม สร้างโดยกรรมวิธีหล่อโบราณ
วิธีการสร้างก็ไม่เหมือนกันนะครับ พิมพ์ขี้ตาเป็นการหล่อเบ้าเป็นองค์
ส่วนพิมพ์นิยมเป็นการหล่อช่อ เพราะฉะนั้นธรรมชาติของพระรูปหล่อของหลวงพ่อเงินทั้ง ๒ รุ่นนี้
จะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะที่ใต้ฐานและขอบข้าง
เนื้อพระจะออกเป็นสีอะไรก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับโลหะชนิดใดเป็นหลักในพระองค์นั้น แต่เนื้อต้องเป็นเนื้อโลหะผสม และดูพุทธศิลป์ พิมพ์ทรงเป็นหลัก ส่วนตำหนิพิมพ์ในพระหล่อโบราณ เป็นเรื่องที่ดูไม่ได้ครับ
หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ท่านเกิดเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๓๕๑ และมรณภาพในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒ สิริอายุรวม ๑๑๑ ปี ดังนั้นอายุของวัตถุมงคลของท่าน อย่างน้อยที่สุดต้องมีอายุเกิน ๑๐๐ ถึง ๑๕๐ ปีขึ้นไปแล้ว
การดูพระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตา
พุทธศิลป์
เป็นพระรูปหล่อลอยองค์ ลักษณะเป็นพระสังกัจจายน์ หน้าแป๊ะยิ้ม ตาหรือเปลือกตานูน ที่ดวงตาข้างซ้ายมักมีก้อนเนื้อเกินด้านล่าง จึงเรียกติดกันว่าพิมพ์ขี้ตา ใบหูยาวใหญ่ จมูกใหญ่ ยิ้มมุมปาก พิมพ์นี้บางคนจะเรียกว่ามีเส้นสังวาลย์ ถัดลงมาเป็นสังฆาฏิหนา เส้นจีวรด้านซ้ายขวาชัดลึก นั่งขัดสมาธิอยู่บนฐาน
พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตาสร้างด้วยวิธีหล่อโบราณแบบหล่อทีละองค์ โดยเริ่มต้นจากการสร้างต้นแบบ ทำหุ่นเทียน ทำพิมพ์ด้านหน้าและด้านหลังประกบเข้าด้วยกันและเข้าดินเบ้า หลังจากนั้นจะเป็นการผสมโลหะสำริดตามสูตรการสร้างพระ และเทโลหะลงเบ้าพิมพ์ที่คว่ำลง เมื่อโลหะเย็นตัวลง แกะพิมพ์ออก ก็จะได้องค์พระ จะไม่ได้หล่อช่อเทครั้งละหลายๆ องค์เหมือนพิมพ์นิยม
การหล่อพระวิธีนี้จะสร้างพระได้จำนวนน้อย เพราะต้องทำพิมพ์และเททีละองค์ ภายหลังพระพิมพ์นิยมจึงสร้างด้วยวิธีการหล่อช่อ ทำให้สร้างพระได้ครั้งละจำนวนมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น รวมถึงสร้างโดยโรงหล่อพระนอกวัด เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของผู้คนในยุคนั้น
เนื้อพระ
ความเก่าที่เราต้องเห็นคือ ความเหี่ยวและแห้งของโลหะ โลหะอายุเป็นร้อยปี สำหรับ ๔ มีนา เราต้องเห็นเนื้อเหี่ยวไม่ใช่เนื้อตึง พิมพ์ชัดไม่ใช่พิมพ์คม โดยเฉพาะพิมพ์ขี้ตา เนื้อจะเหี่ยวกว่าพิมพ์นิยมอย่างเห็นได้ชัด
ตามร่องหรือส่วนลึก ผิวพระจะแห้งย่นเป็นเกล็ดปนกับดินเบ้าเก่าๆ แห้งๆ ซึ่งองค์นี้เราจะเห็นโลหะที่ยังไม่ได้ผสมเข้ากันดีนัก โดยเฉพาะใต้ฐานที่โลหะลอยตัวขึ้นมาตอนเทโลหะหลอมละลายลงเบ้า
โลหะสีทองๆ ที่อยู่ใต้ฐาน น่าจะเกิดจากการใส่โลหะหรือวัสดุบางอย่างลงไปทีหลังจึงหลอมละลายน้อยกว่า
และยังเห็นคราบดินเบ้าเก่าๆ สีขาวเหลือง และสีดำแห้งๆ ติดแน่นอยู่ตามซอกต่างๆ เป็นจุดที่ใช้ศึกษาธรรมชาติพระหล่อโบราณได้ดีครับ
พระเนื้อสำริด เป็นพระเนื้อโลหะผสม ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน ทองแดง ดีบุก สังกะสี ตามสูตรการสร้างพระโบราณ หรือบางสูตรอาจผสมเป็นสังฆวานร นอกจากนั้นก็เป็นแร่แฝงจากธรรมชาติอื่นๆ ที่ปนมา แต่แร่หลักของสำริดคือทองแดงและดีบุก องค์ที่ทองแดงมากก็จะออกส้มอมแดง ถ้าดีบุกมากก็จะออกส้มอมเหลือง และเนื้อจะดูแกร่งตามธรรมชาติของดีบุก
และเมื่อเป็นพระเนื้อสำริดซึ่งเป็นโลหะผสม นอกจากความเหี่ยวและแห้ง ส่ิงสำคัญที่เราต้องเห็นคือโลหะหลากชนิดอยู่ในเนื้อพระ ธรรมชาติการหล่อโบราณในยุคนั้น ความร้อนไม่ได้คงที่ตลอดเวลา โลหะหรือแร่แฝงต่างๆ เหล่านี้ยังไม่ผสมเข้ากันดี จึงทำให้เราเห็นความเป็นโลหะผสมอยู่ในเนื้อได้ วิธีการพิจารณา คือเนื้อพระสำริดเก่าเป็นร้อยปีเนื้อต้องมีหลากสี หลายระดับปะปนกัน
ถ้าเป็นการหล่อฉีดหรือหล่อเหวี่ยงและสั่งซื้อโลหะจากโรงงานเหมือนสมัยนี้ ถึงจะผสมโลหะหลากชนิดเข้าด้วยกันก็จะผสมออกมาเป็นโลหะชนิดเดียวให้เราเห็น ผิวพระจะเรียบตึง ความเหี่ยวย่นไม่มี และไม่เห็นความหลากหลายบนผิวพระ แต่จะใช้การแต่งเก่า โปะคราบ แช่น้ำสนิม ใช้เคมี หรือแตะกรด ให้พระดูเก่า
เหล็กไหล
สำหรับพระรูปหล่อลอยองค์ของหลวงพ่อเงินหลายองค์เท่าที่ ๔ มีนาศึกษามา จะพบแร่ที่เป็นผลึกสีดำ มันเงา มีลักษณะเหมือนแร่ฮีมาไทต์ หรือบางคนจะเรียกว่าเหล็กไหลผสมอยู่ในเนื้อ ที่ ๔ มีนาพบจะเนื้อสำริด ส่วนรูปหล่อเนื้อเงินและเนื้อดิน ๔ มีนายังไม่พบว่ามีแร่ชนิดนี้ผสมอยู
เมื่อมีเรื่องเหล็กไหล ก็มักจะคำถามว่าแม่เหล็กดูดติดแล้วแท้มั๊ย
เหล็กไหลมีผลต่อแม่เหล็ก แต่เราใช้แม่เหล็กเป็นจุดตัดสินไม่ได้เด็ดขาดนะครับ เพราะของทำใหม่ เลียนแบบแม่เหล็กก็ดูดติดทั้งหมดเช่นกัน จุดนี้โรงงานทำได้ง่ายมาก
ออกไซด์
ออกไซด์ในเนื้อโลหะอายุเป็นร้อยปีเป็นเรื่องสำคัญนะครับ พระเก่ารวมถึงวัตถุโบราณเนื้อโลหะจะไม่มีไม่ได้ ออกไซด์เกิดขึ้นจากในเนื้อโลหะตามธรรมชาติ ขึ้นทีละจุดรวมตัวกัน ไม่ใช่การแต้มสีจากภายนอก ออกไซด์จากแร่ประเภทต่างๆที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะ มีสีที่แตกต่างกัน และนักสะสมของเก่าทั่วโลกจะใช้ระดับของคราบออกไซด์ในเนื้อในการประเมินอายุของโลหะครับ
ออกไซด์โลหะที่เกิดขึ้นจะต้องมีสีเข้มอ่อนปะปนกันเพราะเป็นการเกิดขึ้นตลอดเวลาและทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ยิ่งมีความชื้นสูง ก็จะยิ่งเกิดขึ้นมาก บางองค์ออกไซด์หนามากจนดูเหมือนเป็นเปลือกผิวคลุมเนื้อไว้ ออกไซด์ของสำริดมักจะมีสีเหลืองปนส้มปนแดง ทำให้สีของเนื้อพระมีสีเข้มอ่อนปะปนกันทั่วทั้งองค์ ดูมีมิติ ในสีเหลืองก็มีอ่อนเข้ม ส้ม แดงก็อ่อนเข้ม ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่สามารถผสมสีแล้วป้ายทับได้ง่ายๆ
การดูออกไซด์ในพระเก่า ออกไซด์ที่ขึ้นจากในเนื้อเป็นจุดที่ทำให้เนื้อพระดูเป็นคลื่น ไม่เรียบตึง และด้วยการผุดจากเนื้อในออกมาด้านนอก พี่ๆ เพื่อนๆ ต้องดูว่าไม่ใช่คราบทาจากภายนอก และดูสีในพื้นที่ในแต่ละจุดเล็กๆ จะต้องมีสีเข้มอ่อนปนกัน โดยเฉพาะกระแสโลหะสีเหลือง ส้ม แดงขึ้นปนกันอยู่บนเนื้อสีเหลืองทอง
๔ มีนาหวังว่าคลิปนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่ศึกษาเพราะศรัทธาและอยากมีพระเครื่องดีๆ ไว้อาราธนาใช้ติดตัว
พระแท้ อาจจะไม่ได้หายากเท่าพระแพง ขอขอบคุณทุกการติดตามรับชม ทุกความคิดเห็น และกำลังใจจากพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน แล้วไว้พบกันใหม่ สุขกายสุขใจครับ