ฎีกา InTrend Ep.105 ผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทประกันภัยของผู้ทำละเมิดไปแล้วจะมาเรียกร้องจากผู้ทำละเมิดอีกได้หรือไม่
The Host : กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม
Guest Host : สรวิศ ลิมปรังษี
ที่ปรึกษา : วิญญู พิชัย, สรวิศ ลิมปรังษี, ณัฐสิมา อนันทนุพงศ์
Show Creator : ศณิฏา จารุภุมมิก
Episode Producer & Editor : ศณิฏา จารุภุมมิก, รวิภา กิ่งจักร์
Sound Designer & Engineer : กฤตภาส ทองแจ้ง, กิติชัย โล่สุวรรณ
Coordinator & Admin : โสรัตน์ ไวศยดำรง, สุพัตรา ขำมีศักดิ์, สุภาวัชร์ ดลมินทร์
Art Director : สุภาวัชร์ ดลมินทร์, ปันจารีณ์ สุวรรณโภชน์, กนกกูล วสยางกูร
Webmaster : ผุสชา เรืองกูล, วชิระ โรจน์สุธีวัฒน์
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้บรรดาข้อพิพาทและข้อเรียกร้องที่แต่ละฝ่ายมีต่อกันระงับไปและผูกพันเฉพาะเท่าที่กำหนดในสัญญาเท่านั้น แต่บางครั้งอาจมีปัญหาได้เช่นกันว่าเมื่อมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้วจะยังมีสิทธิใดหลงเหลืออยู่ที่อาจจะเรียกร้องจากผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นได้หรือไม่ ปัญหาที่จะนำมากล่าวถึงในตอนนี้จะเป็นกรณีที่ผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทรับประกันภัยของผู้ทำละเมิดแล้วจะมาฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้หรือไม่เพียงใด
นายจันทร์ขับรถบรรทุกไปส่งของที่ต่างจังหวัด ระหว่างทางจอดแวะพักรถอยู่ข้างทางปรากฏว่ามีรถบรรทุกที่นายอังคารขับมาด้วยความเร็วสูงและเกิดการเสียหลัก นายอังคารไม่สามรถควบคุมรถได้จนรถไถลไปชนรถของนายจันทร์ได้รับความเสียหาย
ภายหลังเกิดเหตุ บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถบรรทุกของนายอังคารได้นำรถของนายจันทร์ไปซ่อมที่อู่แห่งหนึ่งให้ แต่เนื่องจากรถเสียหายมากและต้องหาอะไหล่บางอย่าง อู่ใช้เวลาซ่อมถึง 7 เดือน หลังจากซ่อมเสร็จ นายจันทร์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทประกันภัยตกลงยอมรับค่าซ่อมรถตามที่บริษัทจ่ายให้แก่อู่ไปเป็นเงิน 800,000 บาท
ต่อมานายจันทร์จึงได้มาฟ้องนายอังคารให้รับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่ไม่สามารถใช้งานรถบรรทุกไปรับจ้างได้ในระหว่างซ่อมทำให้ขาดรายได้เป็นเงิน 900,000 บาท
นายอังคารอ้างว่านายจันทร์ไม่มีสิทธิมาฟ้องเรียกร้องเอาจากตนอีกเพราะเมื่อนายจันทร์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทประกันภัยย่อมทำให้มูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากรถชนกันครั้งนี้ระงับสิ้นไปหมดแล้ว
ตามปกติของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมถือว่าคู่กรณีแต่ละฝ่ายยอมผ่อนผันให้แก่กันและยอมผูกพันกันเฉพาะเท่าที่ตกลงกำหนดไว้ในสัญญาเท่านั้น และทำให้สิทธิเรียกร้องที่เคยมีต่อกันระงับสิ้นไปด้วย ซึ่งเป็นที่มาของข้อต่อสู้ของนายอังคารในกรณีนี้ เพราะอ้างว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยบริษัทประกันภัยก็เหมือนทำแทนนายอังคารด้วย เพราะหากนายอังคารไม่เอาประกันภัยไว้ บริษัทประกันภัยก็ย่อมไม่ไปชดใช้ค่าเสียหายและตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายจันทร์
แต่กรณีนี้ปรากฏว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยตามสัญญาประกันภัยที่นายอังคารทำกับบริษัทประกันภัยนั้นไม่ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าขาดประโยชน์ของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่เกิดจากการไม่สามาถใช้รถในระหว่างที่ซ่อมแซมรถด้วย จึงเท่ากับว่าการชดใช้ของบริษัทประกันภัยนั้นเป็นการชดใช้เฉพาะในส่วนของค่าซ่อมรถเป็นสำคัญ และไม่ได้มีส่วนของการชดใช้ค่าขาดประโยชน์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การชดใช้ค่าเสียหายในกรณีนี้ก็เป็นการจ่ายค่าซ่อมรถให้แก่อู่ซ่อมรถที่ทำการซ่อมรถให้แก่นายจันทร์เท่านั้น ไม่ได้มีการชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้แก่นายจันทร์
นอกจากนั้น ตามปกติของสัญญาประกันภัยย่อมมีความรับผิดอย่างจำกัดและไม่เกินวงเงินที่ทำสัญญาประกันภัยไว้ ซึ่งย่อมทำให้เห็นว่าได้ว่าอาจมีค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นที่อยู่นอกเหนือวงเงินประกันก็ได้ การที่บริษัทประกันภัยทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปจึงมีผลเพียงเป็นการประนีประนอมยอมความในส่วนของหนี้เท่าที่บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบเท่านั้น เฉพาะแต่หนี้ส่วนนี้เท่านั้นที่จะระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ สำหรับหนี้ส่วนอื่นที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัยย่อมไม่ถือว่าระงับไปด้วยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ดังนั้น แม้ว่าผู้เสียหายจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทประกันภัยของผู้ทำละเมิดแล้ว แต่หากมีหนี้ส่วนอื่นที่บริษัทประกันภัยไม่ได้รับผิดชอบ ผู้เสียหายยังมีสิทธิฟ้องร้องหนี้ส่วนนั้นเอาจากผู้ทำละเมิดได้อยู่ โดยไม่ถือว่าหนี้ส่วนดังกล่าวระงับไปด้วยผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4333/2564)