MENU

Fun & Interesting

ฎีกา InTrend ep.80 การผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญาจะเป็นเหตุให้เปลี่ยนโทษจำคุกที่รอไว้.....

COJ CHANNEL 12,472 3 years ago
Video Not Working? Fix It Now

ฎีกา InTrend ep.80 การผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญาจะเป็นเหตุให้เปลี่ยนโทษจำคุกที่รอไว้ได้หรือไม่ The Host : กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม Guest Host : สรวิศ ลิมปรังษี ที่ปรึกษา : สรวิศ ลิมปรังษี, อรวรานันท์ ธนาพันธ์วรากุล Show Creator : นันทวัลย์ นุชนนทรี, ศณิฏา จารุภุมมิก Episode Producer & Editor : ศณิฏา จารุภุมมิก, ปนัสยา ชื่นอุระ Sound Designer & Engineer : กฤตภาส ทองแจ้ง, กิติชัย โล่สุวรรณ Coordinator & Admin : สุภาวัชร์ ดลมินทร์, โสรัตน์ ไวศยดำรง Art Director : สุภาวัชร์ ดลมินทร์ Webmaster : ผุสชา เรืองกูล, วชิระ โรจน์สุธีวัฒน์ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความปกติแล้วเป็นการตกลงการชำระหนี้กันในทางแพ่ง หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงย่อมจะถูกบังคับคดีตามกฎหมายได้ แต่บางครั้งการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอาจเกิดขึ้นในคดีอาญาที่มีการเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ กรณีที่จะนำมากล่าวถึงในตอนนี้จะเป็นปัญหาที่ว่าการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญาจะเป็นเหตุให้ศาลนำโทษที่รอไว้มาลงได้หรือไม่ และการฎีกาคำสั่งศาลกรณีนี้จะทำได้หรือไม่ นายจันทร์ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชนต่อศาล นายอังคารซึ่งเป็นผู้เสียหายคนหนึ่งได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม นายจันทร์ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง และได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอังคารด้วย ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายจันทร์กระทงละ 2 ปี และปรับอีกกระทงละ 10,000 บาท นายจันทร์กระทำผิดทั้งหมด 10 กระทง รวมจำคุก 20 ปี และปรับ 100,000 บาท นายจันทร์รับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดย “ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม 10 ครั้งตามระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติการชดใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้พนักงานคุมประพฤติแนะนำจำเลยเกี่ยวกับการชดใช้เงินบรรเทาผลร้าย หากเห็นว่าจำเลยไม่มารายงานตัวตามกำหนดและไม่ใส่ใจในการบรรเทาผลร้าย ให้ถือว่าผิดเงื่อนไข ให้รายงานศาลเพื่อลงโทษซึ่งรอไว้” ในส่วนที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลได้พิพากษาตามยอมให้นายจันทร์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ตกลงไว้ ต่อมานายจันทร์ไม่ได้ไปรายงานตัวและไม่ชำระค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ พนักงานคุมประพฤติจึงได้รายงานให้ศาลทราบ ศาลจึงมีคำสั่งให้นำโทษที่รอไว้มาลง นายจันทร์จึงได้อุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น นายจันทร์จึงได้ฎีกาต่อศาลฎีกา ในคดีนี้ความจริงมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมสำหรับคดีส่วนแพ่งไป คำพิพากษาดังกล่าวความจริงแล้วสามารถนำไปบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อขายทอดตลาดได้ตามปกติเช่นเดียวกับคำพิพากษาในคดีแพ่งทั่วๆไป แต่คดีนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่มีส่วนของคดีอาญาเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ในคดีส่วนอาญา กรณีลักษณะนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กำหนดให้ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยได้ เงื่อนไขประการหนึ่งที่ศาลอาจกำหนดได้คือการให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเยียวยาความเสียหายโดยวิธีอื่นให้แก่ผู้เสียหายตามที่ผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายตกลงกัน ในคดีนี้ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่งคือในการพิพากษา ศาลได้กำหนดไว้ในคำพิพากษาถึงการให้พนักงานคุมประพฤติดูแลแนะนำจำเลยเกี่ยวกับการบรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายด้วย และกำหนดไว้ด้วยว่าหากจำเลยไม่บรรเทาผลร้ายก็ให้รายงานให้ทราบและถือเป็นการผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติด้วย ทำให้การชำระค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประนีประนอมยอมความกลายเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการคุมประพฤติซึ่งเมื่อจำเลยไม่ใส่ใจที่จะชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายจึงเป็นการผิดเงื่อนไขที่เป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งให้นำโทษที่รอไว้มาลงได้ ประเด็นอีกประการหนึ่งคือเมื่อศาลมีคำสั่งดังกล่าวแล้วมีการอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยจึงได้ฎีกาต่อศาลฎีกา แต่กรณีลักษณะนี้ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ทำให้จำเลยไม่อาจฎีกาต่อไปได้ และกรณีลักษณะนี้จะให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในชั้นต้นรับรองให้ฎีกาก็ไม่ได้ด้วยเพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ทำแบบนั้นได้เหมือนกรณีคดีอาญาทั่ว ๆ ไป กรณีนี้คงกล่าวได้ว่าหากศาลกำหนดให้การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการคุมประพฤติ หากจำเลยไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอาจเป็นเหตุให้ศาลนำโทษที่รอไว้มาลงแก่จำเลยได้ และกรณีดังกล่าวจะฎีกาไปยังศาลฎีกาก็ไม่ได้แม้จะมีการรับรองให้ฎีกาเพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ให้ทำเช่นนั้นได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3624/2564)

Comment