ภายในตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาล
ประจำจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งหนึ่ง
บรรยากาศวันนี้วุ่นวาย
ราวกับสนามรบทางการแพทย์
เสียงไซเรนรถพยาบาล
ดังระงมจากภายนอก
ลมร้อนของเดือนเมษายังอบอวล
ผสมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อ
และสารเคมีทางการแพทย์
ผู้ป่วยที่หลั่งไหลเข้ามาล้นเกินจำนวนเตียง
แพทย์
พยาบาล
และนักศึกษาแพทย์ต่างวิ่งวุ่น
เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
รถทัวร์นำเที่ยวคันใหญ่
ที่พลิกคว่ำไม่ไกลจากตัวเมือง
ทุกคนทำงานแข่งกับเวลา
และความเป็นความตาย
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้น
มีเคสหนึ่งที่ดูแปลกประหลาดไม่แพ้เคสอื่น
เด็กชายวัยประมาณ
7ถึง8ขวบ
ผมสั้นตาโตใบหน้าซีดเซียว
กำลังปวดท้องอย่างรุนแรง
จนแทบจะเปล่งเสียงร้องไม่ได้
แม่เด็กกุมมือลูกแน่น
ดวงตาแดงก่ำด้วยความเป็นห่วง
พ่อของเด็กเดินกระวนกระวายอยู่ไม่ไกล
ทุกคนตะโกนเรียกหาหมอ
แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างติดเคส
อาการหนักอยู่รอบด้าน
ไม่มีใครว่างมาดูอาการเด็กคนนี้ทันที
นักศึกษาปีหก.
ไปดูเคสเด็กคนนั้นหน่อย
เสียงพยาบาลหัวหน้าตะโกน
แข่งกับเสียงร้องขอความช่วยเหลืออื่นๆ
นักศึกษาแพทย์หญิงนาม
วิสา
ที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานในช่วงเวลาฉุกเฉินนี้
รีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
เธอสวมแมสก์และแว่นป้องกัน
แววตาฉายความมุ่งมั่นผสม
ความกังวลบางอย่าง
เธอรี่เข้ามาหาเด็กชายทันที
น้องเป็นยังไงบ้างคะ
วิสาถามแม่ของเด็กที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
แม่เด็กพยายามตอบ
แต่กลับหลุดเป็นเสียงสะอื้นติดขัด
เขา.
เขาบอกว่าปวดท้องมาก
จับท้องตัวเองไว้แน่น
พูดไม่ได้เลยค่ะ
เขาเจ็บจนบิดตัวไปมา
วิสาก้มลงดูหน้าเด็ก
เห็นเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
เด็กชายทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
และชีพจรของเขาเต้นเร็วผิดปกติ
ใจเย็นๆ
นะคะคุณแม่
เดี๋ยวหนูจะพาน้องไปเอ็กซเรย์ดูก่อน
เธอเรียกพยาบาลให้เตรียมเข็นเด็กไปยังห้องเอ็กซเรย์
หลังตรวจด้วยเอ็กซเรย์ช่องท้อง
ผลปรากฏว่าทุกอย่าง
ดูปกติไม่มีสิ่งแปลกปลอม
ไม่มีเศษวัสดุ
ไม่มีความผิดปกติในอวัยวะภายใน
แต่สิ่งที่ทำให้วิสาฉงนคือ
ชีพจรของเด็กสูงผิดปกติอย่างไม่มีเหตุผล
เธอขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย
ก่อนเดินไปปรึกษาอาจารย์หมอ
อาจารย์แพทย์เป็นผู้ชายวัยกลางคน
ใส่แว่นเขามองผลเอ็กซเรย์ผ่านฟิล์มส่องไฟ
ส่ายหน้าช้าๆ
ไม่มีอะไรผิดปกติในทางภาพถ่ายนะ
เขาพึมพำก่อนกดหน้าท้องเด็กเบาๆ
เด็กชายร้องเบาๆ
แต่ไม่มีอาการบ่งบอกชัดถึงโรคเฉพาะ
อาจารย์หมอครุ่นคิดสักพัก
ก่อนจ่ายยาแก้ปวดและบอกให้กลับบ้านได้
วิสารับคำสั่งอย่างสับสนในใจ
อาจารย์คะ
แต่ว่าชีพจรเขาสูงมากนะคะ
มันดูไม่ปกติเธอเปรย
แต่อาจารย์หมอสบตาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก
บางทีก็อาจจะเป็นความเครียด
เจ็บไม่มากแต่กลัวก็ได้
ลองให้ยาลดปวดดูอาการที่บ้าน
ถ้ากลับมาแย่ค่อยมาอีกครั้ง
เมื่อตัดสินใจทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
วิสาก็ปล่อยให้คนไข้กลับพร้อมพ่อแม่
เด็กน้อยยังคงหน้าซีด
แต่ค่อยๆลุกขึ้นตามคำสั่งพยาบาลที่ช่วยเหลือ
แต่ในระหว่างที่ครอบครัวเด็ก
กำลังก้าวพ้นประตูหน้าโรงพยาบาล
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานก็ดังก้อง
เด็กชายทิ้งตัวลงกับพื้น
ส่งเสียงร้องโหยหวน
เหมือนมีบางอย่างฉีกกระชาก
อยู่ในท้องของเขา
แม่เด็กกรีดร้องลั่น
พ่อเด็กตกใจควานหาความช่วยเหลือ
วิสาได้ยินเสียงก็รีบวิ่งกลับออกไป
เจอภาพเด็กชักเกร็ง
ปากและจมูกมีเลือดทะลักออกมา
ราวกับอวัยวะภายในฉีกขาด
เลือดสดๆไหลย้อมเสื้อนักเรียน
ของเด็กให้เปียกชุ่มแดงฉาน